ข่าวเทคโนโลยีการศึกษา
Trooper Charity Trip Episode 4 จากพี่สู่น้องผู้มองไม่เห็น 18 ธ.ค. 50 14:33
-->
ชมรม Trooper Club Thailand ทำโครงการ Trooper Charity Trip Episode 4 จากพี่สู่น้องผู้มองไม่เห็น โดยนายศุภชัย สุโฆษิต เป็นตัวแทนมอบเงินจำนวน 83,759 บาท ให้กับ นางชนิดาภา เพชรรักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอด โครงการดังกล่าวเป็นการร่วมสมทบทุนผลิต Dictionary Eng-Thai ฉบับอักษรเบรลล์ เพื่อผู้พิการทางสายตา ได้มี Dictionary ไว้ใช้เพื่อเรียนรู้และพัฒนาการศึกษาด้านภาษาอังกฤษต่อไป โดย Dictionary Eng-Thai ฉบับอักษรเบรลล์ดังกล่าวจะมอบให้กับโรงเรียนที่สอนผู้พิการทางสายตา 50 แห่งทั่วประเทศ ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอด www.blind.or.th หรือที่รู้จักในชื่อ “ห้องสมุดคอลฟิลด์” หนึ่งในหน่วยงานของมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นแหล่งรวบรวมความรู้ในด้านการศึกษาและสาระบันเทิงต่างๆ สำหรับคนตาบอด ที่เปิดให้บริการกับผู้พิการทางสายดามานานถึง 30 ปี ภายใต้แนวความคิดที่ว่า “การศึกษาเป็นปัจจัยสำคัญที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ทางด้านความรู้ ความคิด สติปัญญา และจริยธรรม เพื่อให้เกิดการเพิ่มพูนขึ้นไม่ว่าจะทางกายหรือจิตใจ และการศึกษาจึงน่าจะทำให้คนผู้พิการทางสา อ่านต่อ...
มูลนิธิทีเอชนิค เชิญชวนคนใช้คอมฯ เข้าร่วมกิจกรรมในโครงการ"ใช้คอมฯ อย่างสร้างสรรค์ รู้ทันโรคภัย" 13 ม.ค. 52 09:58
มูลนิธิศูนย์สารสนเทศเครือข่ายไทย (ทีเอชนิค) ในฐานะผู้ทำหน้าที่บริหารจัดการฐานข้อมูลชื่อโดเมนระดับบนสุด .th ประกาศผล 6 โครงงานที่ได้รับการอนุมัติให้ดำเนินการ ในโครงการ "ใช้คอมฯ อย่างสร้างสรรค์ รู้ทันโรคภัย" ภายใต้การดูแลของ รศ. ดร.โคทม อารียา ประธานมูลนิธิฯ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา โดยโครงงานต่างๆ อ่านต่อ...
สสวท.ชวนเติมพลังสมองกับรายการวิทยาศาสตร์รอบตัว ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 17.30 น. สถานีโทรทัศน์ NBT 13 ต.ค. 51 16:43
นางสาวนารี วงศ์สิโรจน์กุล รองผู้อำนวยการ รักษาการแทนผู้อำนวยการสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ชวนเชิญเยาวชนและผู้สนใจเติมความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์กับรายการวิทยาศาสตร์รอบตัว ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 17.30 น. สถานีโทรทัศน์ NBT เริ่มตอนแรกวันจันทร์ที่ 13 ตุลาคม 2551 นี้ พิเศษสุดสำหรับเดือนตุลาคมร่วมกันไขข้อข้องใจกับความรู้เรื่อง “เมลามีน” อ่านต่อ...
มสธ. เปิดสอนชุด e-Learning 67 ชุดวิชา ประจำปีการศึกษาที่ 1/2551 8 ส.ค. 51 16:09
แจ้งข่าวสำหรับนักศึกษา มสธ. ศูนย์คอมพิวเตอร์ช่วยสอน สำนักเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เปิดสอนชุด e-Learning ในภาคการศึกษาที่ 1/2551 จำนวน 67 ชุดวิชา เพื่อเป็นช่องทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนการสอนให้กับนักศึกษา โดยแยกเป็นระดับ ปริญญาตรี จำนวน 19 ชุดวิชา ระดับปริญญาโท 43 ชุดวิชา และระดับปริญญาเอก จำนวน 5 ชุดวิชา ทั้งนี้นักศึกษาสามารถเข้าใช้ระบบ STOU e-Learning อ่านต่อ...
มสธ.พัฒนาภาษาอังกฤษด้วยชุด It Works 15 ก.ค. 51 16:02
ศูนย์บริการการสอนทางวิทยุและโทรทัศน์ สำนักเทคโนโลยีการศึกษา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ร่วมกับ ศูนย์พัฒนาความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ได้จัดทำDVD ชุด It Works มี 6 แผ่นประกอบด้วย TOURISM FASHION HEALTH&SPA FOOD AUTO IT อ่านต่อ...
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญชวนผู้สนใจทั่วไป ส่งภาพวาด-ภาพถ่ายหัวข้อ “เฉลิมฉลอง ๑๒๐ ปีศิริราช” 9 ม.ค. 51 14:12
ขอเชิญชวนผู้สนใจทั่วไป ส่งภาพวาด-ภาพถ่ายหัวข้อ “เฉลิมฉลอง ๑๒๐ ปีศิริราช” เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว องค์ผู้พระราชทานกำเนิดรพ.ศิริราช ภาพวาด สีน้ำและสีน้ำมันหรืออะคริลิค ขนาดภาพไม่เกิน ๕๘ x ๗๕ ซม. ส่งได้ ๑ ภาพต่อ ๑ ท่าน ต่อ ๑ ประเภท / ภาพถ่ายสี ขนาด ๘ x ๑๐ นิ้ว ส่งได้ ๑ – ๕ ภาพ ต่อ ๑ ท่าน ระยะเวลาของภาพทั้ง ๒ ประเภทต้องไม่เกิน ๒ ปี ห้ามมีภาพพระบรมวงศานุวงศ์ อ่านต่อ...
คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญฟังเสวนา เรื่อง “โฉมหน้าใหม่ของศิริราชในยุคความร่วมมือกับมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์” 9 ม.ค. 51 14:03
สถานเทคโนโลยีการศึกษาแพทยศาสตร์ และ งานจดหมายเหตุ พิพิธภัณฑ์การแพทย์ศิริราช คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมฟัง การเสวนาประวัติศาสตร์การแพทย์ไทย บอกเล่าเรื่องเล่าราวจากประสบการณ์ ชุดอาจารย์ เล่าเรื่องในศิริราช เรื่อง “โฉมหน้าใหม่ของศิริราชในยุคความร่วมมือกับมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์” ในวันที่ ๒๑ มกราคม ๒๕๕๑ เวลา ๑๓.๓๐ – ๑๕.๐๐ น. ณ ห้องสมเด็จพระบรมราชชนก ตึกสยามินทร์ ชั้น ๒ สำรอง อ่านต่อ...
ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอด ขอเชิญชวนร่วมผลิต Dictionary Englisth-Thai ฉบับอักษรเบรลล์ 22 ต.ค. 50 14:59
ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอดแห่งประเทศไทย เชิญผู้มีจิตศรัทธา ร่วมผลิต Dictionary Englisth-thai ฉบับอักษรเบรลล์ ให้กับโรงเรียนที่สอนผู้พิการทางสายตา เพื่อเด็กนักเรียนผู้พิการทางสายตาได้มี Dictionary ไว้ใช้อย่างทั่วถึง ศูนย์เทคโนโลยีการศึกษาเพื่อคนตาบอด หรือที่รู้จักในชื่อ “ห้องสมุดคอลฟิลด์” หนึ่งในหน่วยงานของมูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ เป็นแหล่งรวบรวมความรู้ในด้านการศึกษาและสาระบันเทิง อ่านต่อ...
รมช. ศธ. กระตุ้นเด็กไทยรักเรียนวิทย์ ฝาก สสวท. เร่งขยายผลจับมืออุดมศึกษาปั้นครูเก่ง 3 พ.ค. 50 10:09
รศ. ดร. วรากรณ์ สามโกเศศ ได้ให้นโยบายแก่สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ในโอกาสที่เดินทางมาเยี่ยมและพบปะผู้บริหาร สสวท. เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2550 ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุมสนั่น สุมิตร อาคารปฏิบัติการ สสวท. ว่า ปัจจุบันวัตถุดิบทั้งหลายไม่สำคัญเท่ากับความรู้ เพราะความรู้สามารถเพิ่มความมั่งคั่งของสังคมได้ ต่อให้ประเทศใดที่มีวัตถุดิบหรือทรัพยากรมากแต่มีความสามารถทางการผลิตต่ำก็ทำอะไรไม่ได้ อ่านต่อ...
ซัม ซิสเท็ม ผู้นำนวัตกรรม e-Learning โชว์โปรเจ็คยักษ์ 200 ลบ.เตรียมส่ง Education Sphere Server กินตลาดข้ามชาติ 23 ม.ค. 50 17:20
นางสาวอุบล สุทธนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซัม ซิสเท็ม จำกัด ผู้นำในธุรกิจการผลิต และพัฒนาระบบไอทีเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมทางการศึกษา ผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต เปิดเผยถึงความสำเร็จตลอด 9 ปีของการดำเนินธุรกิจ ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา พร้อมเตรียมรุกตลาดมากขึ้น โดยบริษัทฯได้นำเสนอโปรเจ็คด้านการศึกษาที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของลูกค้ามูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ด้วยการนำเสนอโซลูชั่นหลักๆ อ่านต่อ...
ซัม ซิสเท็ม จัดงานครบรอบ 10 ปี บริษัท ซัม ซิสเท็ม จำกัด 19 ม.ค. 50 18:30
บริษัท ซัม ซิสเท็ม จำกัด จัดงานครบรอบ 10 ปี ผู้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีไอทีด้านการพัฒนา บริหารจัดการการศึกษาออนไลน์ วันศุกร์ที่ 19 มกราคม 2550 เวลา 18.30 – 20.00 น. ณ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ 5 ชั้น เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา ถนนนวมินทร์ “ซัม ซิสเท็ม” ผู้นำนวัตกรรมเทคโนโลยีการศึกษาโปรแกรม Education Sphere และอีกหลาก โซลูชั่น ก้าวสู่ปีที่ 10 ของความสำเร็จในการเป็นผู้ช่วยมือฉมังให้กับองค์กรและสถาบั อ่านต่อ...
แสงโสม จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวกิจกรรม “แสงโสม ทัวร์ เดอ ไทยแลนด์ 2006” 8 พ.ย. 49 14:00
ขอเรียนเชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าวเปิดตัวกิจกรรม “แสงโสม ทัวร์ เดอ ไทยแลนด์ 2006” ซึ่งจะจัดขึ้นใน วันพุธที่ 8 พ.ย. 2549 เวลา 14.00 น.-16.00น. ณ สำนักงานใหญ่การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย 1600 ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพ ฯ ทัวร์ เดอ ไทยแลนด์ ทัวร์ เดอ ไทยแลนด์ กิจกรรมการปั่นจักรยานการกุศลนานาชาติประจำปี จัดโดยบริษัท ทัวร์ เดอ เอเชีย ไบซิเคิ่ล ทัวร์ริ่ง จำกัด ภารกิจของ ทัวร์ เดอ อ่านต่อ...
ภาพข่าว: การเปิดงานเครื่องช่วยฟัง Inteo 31 ก.ค. 49 09:00
ดร.วัชระ พรรณเชษฐ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติเป็นประธานเปิดงาน Inteo Launch “กลับมาได้ยิน คนรอบข้าง...อีกครั้ง” ในวันพุธที่ 26 กรกฎาคม 2549 ณ โรงแรมอมารี วอเตอร์เกต บริษัท ศูนย์การได้ยินดีเมด จำกัด (DMED HEARING CENTER) ประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท Widex ประเทศเดนมาร์ค ได้จัดงานเปิดตัวเครื่องช่วยฟังรุ่น Inteo โดยได้รับเกียรติจาก
วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552
วันอังคารที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2552
บทความทางวิชาการ
บทความทางวิชาการ
สารสนเทศที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา
การจัดการสารสนเทศ เป็นลักษณะที่พบเห็นทั่วไปในแวดวงที่มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาระบบสารสนเทศและจัดการด้านต่าง ๆ โดยเป็นที่ยอมรับกันว่าการจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อองค์กรและหน่วยงาน โดยเฉพาะสารสนเทศที่ได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของบันทึก จดหมายโต้ตอบ รายงาน เทปบันทึกการประชุม วีดีทัศน์ประกอบการนำเสนอ ฐานข้อมูลบุคลากร ฐานข้อมูลบัญชี แบบฟอร์มการลา ฯลฯ โดยสารสนเทศเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์กรเป็นอย่างยิ่ง
ระบบสารสนเทศในองค์กรหรือระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเพิ่มความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในยุคโลกาภิวัตน์ที่เกิดกระแสความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างรวดเร็ว ดังนั้นองค์กรต่าง ๆ ต่างเล็งเห็นถึงความจำเป็นของระบบสารสนเทศเพื่อรองรับการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2549 : 25)
ในส่วนของสถานศึกษา การมีสารสนเทศที่เป็นระบบ ก็มีความจำเป็นและมีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะความสำคัญของการจัดการสารสนเทศอย่างมีระบบ ทำให้สามารถมีข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้านต่าง ๆ ผู้บริหารจึงต้องตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ ว่าต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบทั้งในระดับปฏิบัติการ ระดับจัดการและระดับกลยุทธ์ เพราะส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพและโปร่งใส
สถานศึกษาที่มีระบบสารสนเทศที่สมบูรณ์ ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน เรียกใช้ได้สะดวกและตรงตามความต้องการ จะช่วยให้สถานศึกษาสามารถดำเนินงานพัฒนาคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการสร้างความมั่นใจที่ตั้งอยู่บนรากฐานของหลักวิชา หลักฐานข้อเท็จจริงที่สามารถตรวจสอบได้ มีกระบวนการวิเคราะห์และประมวลผลที่เป็นวิทยาศาสตร์ หลักตรรกและความสมเหตุสมผล เพราะสารสนเทศทั้งหลายนั้นนอกจากจะใช้ในการวางแผนการดำเนินงานและประกอบการตัดสินใจแล้ว ยังนำไปสู่การพัฒนาแนวความคิด และสร้างทางเลือกใหม่ๆ ในการดำเนินการต่างๆ โดยระบบสารสนเทศที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ที่ประกอบด้วย (1) ระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา (2) ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับผู้เรียน (3) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ (4) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ โดยระบบสารสนเทศแต่ละระบบเหล่านี้มีรายละเอียดโดยสังเขปดังต่อไปนี้
1. ระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา
ระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา ประกอบด้วยข้อมูลและสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับภาพรวมของสถานศึกษา สภาพเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ความต้องการของ ชุมชน สภาพการบริหารและการจัดการตามโครงสร้างและภารกิจ เป็นต้น โดยมีตัวอย่างรายงานในระบบสารสนเทศ เช่น ข้อมูลทั่วไปของสถานศึกษา
ศักยภาพของสถานศึกษา ความต้องการของชุมชน แนวโน้มการพัฒนาท้องถิ่น แนวทางการจัดการศึกษา และการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษา/คณะกรรมการนักเรียน เป็นต้น
2.ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับผู้เรียน
ระบบสารสนเทศเกี่ยวกับผู้เรียน เป็นระบบสารสนเทศที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียนทั้งหมด โดยมีตัวอย่างรายงานของระบบสารสนเทศ เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน ผลงานและการแสดงออกของผู้เรียน รูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นต้น
3.ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารวิชาการ เป็นการจัดระบบสารสนเทศเกี่ยวกับหลักสูตรและการเรียนการสอน การวัดและการประเมิน ผลการพัฒนากิจกรรมแนะแนวและการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยมีตัวอย่างรายงานของระบบสารสนเทศ เช่น หลักสูตรและการเรียนการสอน การวัดและการประเมินผลการเรียน การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน/กิจกรรมแนะแนว การวิจัยในชั้นเรียน เป็นต้น
4.ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ เป็นระบบสารสนเทศที่ต้องมีการประมวลผลรวม มีการเปรียบเทียบข้อมูลอย่างถูกต้องและทันสมัยจึงมีความหมายต่อการจัดการและการบริหารงานอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ โดยมีตัวอย่างรายงานของระบบสารสนเทศ เช่น สภาพการบริหารและการจัดการ ความสอดคล้องระหว่างวิสัยทัศน์ ภารกิจและเป้าหมายการพัฒนา สภาพและบรรยากาศการเรียนรู้ ทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวก การพัฒนาวิชาชีพ ความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครองและชุมชน เป็นต้น
สารสนเทศที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา
การจัดการสารสนเทศ เป็นลักษณะที่พบเห็นทั่วไปในแวดวงที่มีการนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการพัฒนาระบบสารสนเทศและจัดการด้านต่าง ๆ โดยเป็นที่ยอมรับกันว่าการจัดการสารสนเทศมีความสำคัญต่อองค์กรและหน่วยงาน โดยเฉพาะสารสนเทศที่ได้มีการบันทึกไว้เป็นหลักฐาน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบของบันทึก จดหมายโต้ตอบ รายงาน เทปบันทึกการประชุม วีดีทัศน์ประกอบการนำเสนอ ฐานข้อมูลบุคลากร ฐานข้อมูลบัญชี แบบฟอร์มการลา ฯลฯ โดยสารสนเทศเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีความสำคัญต่อการพัฒนาองค์กรเป็นอย่างยิ่ง
ระบบสารสนเทศในองค์กรหรือระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดการสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อประโยชน์ในการบริหารจัดการองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเพิ่มความสามารถในการแข่งขันขององค์กรในยุคโลกาภิวัตน์ที่เกิดกระแสความเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมอย่างรวดเร็ว ดังนั้นองค์กรต่าง ๆ ต่างเล็งเห็นถึงความจำเป็นของระบบสารสนเทศเพื่อรองรับการดำเนินงานในด้านต่าง ๆ (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช 2549 : 25)
ในส่วนของสถานศึกษา การมีสารสนเทศที่เป็นระบบ ก็มีความจำเป็นและมีความสำคัญต่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษาเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะความสำคัญของการจัดการสารสนเทศอย่างมีระบบ ทำให้สามารถมีข้อมูลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้านต่าง ๆ ผู้บริหารจึงต้องตระหนักถึงความสำคัญของการจัดการสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ ว่าต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบทั้งในระดับปฏิบัติการ ระดับจัดการและระดับกลยุทธ์ เพราะส่งผลต่อคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง มีประสิทธิภาพและโปร่งใส
สถานศึกษาที่มีระบบสารสนเทศที่สมบูรณ์ ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน เรียกใช้ได้สะดวกและตรงตามความต้องการ จะช่วยให้สถานศึกษาสามารถดำเนินงานพัฒนาคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการสร้างความมั่นใจที่ตั้งอยู่บนรากฐานของหลักวิชา หลักฐานข้อเท็จจริงที่สามารถตรวจสอบได้ มีกระบวนการวิเคราะห์และประมวลผลที่เป็นวิทยาศาสตร์ หลักตรรกและความสมเหตุสมผล เพราะสารสนเทศทั้งหลายนั้นนอกจากจะใช้ในการวางแผนการดำเนินงานและประกอบการตัดสินใจแล้ว ยังนำไปสู่การพัฒนาแนวความคิด และสร้างทางเลือกใหม่ๆ ในการดำเนินการต่างๆ โดยระบบสารสนเทศที่จำเป็นต่อการพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา ที่ประกอบด้วย (1) ระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา (2) ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับผู้เรียน (3) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ (4) ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ โดยระบบสารสนเทศแต่ละระบบเหล่านี้มีรายละเอียดโดยสังเขปดังต่อไปนี้
1. ระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา
ระบบสารสนเทศพื้นฐานของสถานศึกษา ประกอบด้วยข้อมูลและสารสนเทศที่เกี่ยวข้องกับภาพรวมของสถานศึกษา สภาพเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ความต้องการของ ชุมชน สภาพการบริหารและการจัดการตามโครงสร้างและภารกิจ เป็นต้น โดยมีตัวอย่างรายงานในระบบสารสนเทศ เช่น ข้อมูลทั่วไปของสถานศึกษา
ศักยภาพของสถานศึกษา ความต้องการของชุมชน แนวโน้มการพัฒนาท้องถิ่น แนวทางการจัดการศึกษา และการมีส่วนร่วมของคณะกรรมการสถานศึกษา/คณะกรรมการนักเรียน เป็นต้น
2.ระบบสารสนเทศที่เกี่ยวกับผู้เรียน
ระบบสารสนเทศเกี่ยวกับผู้เรียน เป็นระบบสารสนเทศที่รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียนทั้งหมด โดยมีตัวอย่างรายงานของระบบสารสนเทศ เช่น ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน คุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้เรียน ผลงานและการแสดงออกของผู้เรียน รูปแบบการเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นต้น
3.ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารงานวิชาการ
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารวิชาการ เป็นการจัดระบบสารสนเทศเกี่ยวกับหลักสูตรและการเรียนการสอน การวัดและการประเมิน ผลการพัฒนากิจกรรมแนะแนวและการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน โดยมีตัวอย่างรายงานของระบบสารสนเทศ เช่น หลักสูตรและการเรียนการสอน การวัดและการประเมินผลการเรียน การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน/กิจกรรมแนะแนว การวิจัยในชั้นเรียน เป็นต้น
4.ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ
ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการ เป็นระบบสารสนเทศที่ต้องมีการประมวลผลรวม มีการเปรียบเทียบข้อมูลอย่างถูกต้องและทันสมัยจึงมีความหมายต่อการจัดการและการบริหารงานอย่างเต็มที่และมีประสิทธิภาพ โดยมีตัวอย่างรายงานของระบบสารสนเทศ เช่น สภาพการบริหารและการจัดการ ความสอดคล้องระหว่างวิสัยทัศน์ ภารกิจและเป้าหมายการพัฒนา สภาพและบรรยากาศการเรียนรู้ ทรัพยากรและสิ่งอำนวยความสะดวก การพัฒนาวิชาชีพ ความสัมพันธ์ระหว่างสถานศึกษากับผู้ปกครองและชุมชน เป็นต้น
การพัฒนาวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา
ชลาลัย นิมิบุตร[*]
วิสัยทัศน์ (Vision) เป็นคำที่นักวิชาการได้ให้ความสนใจ และพยายามให้ความหมายแตกต่างกันไปมากมาย จนอาจเกิดความสับสนว่ากำลังกล่าวถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร หรือวิสัยทัศน์ขององค์กรกันแน่ อย่างไรก็ตามความหมาย ของวิสัยทัศน์สามารถสรุปได้ในแนวทางเดียวกันคือ วิสัยทัศน์ หมายถึง ภาพในอนาคตขององค์กรซึ่งได้มาจากปัญญา ความคิดโดยภาพนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง มีความเป็นไปได้ ดึงดูดใจให้ปฏิบัติตาม สอดคล้องกับเป้าหมายและภาระหน้าที่ขององค์กรอันจะทำให้องค์กรมีสภาพดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาจากความหมาย ของวิสัยทัศน์จะเห็นว่า วิสัยทัศน์มีลักษณะเป็นภาพ สถานศึกษาไม่สามารถที่จะสร้างภาพด้วยตนเองได้ แต่จะมองเห็นอนาคตขององค์กรผ่านผู้บริหารสถานศึกษาว่าจะกำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินงานของสถานศึกษาอย่างไรจึงจะเหมาะสม ดังนั้นวิสัยทัศน์ที่จะกล่าวถึงในบทความนี้จะหมายถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้บริหารสถานศึกษาทุกคนจะต้องมีเพื่อนำการเปลี่ยนแปลง มาสู่สถานศึกษาให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เป็นพลวัตรเช่นในปัจจุบัน และผู้เขียนจะขอนำเสนอแนวทางในการพัฒนาวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามกรอบแนวคิด ดังนี้
การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์
การเผยแพร่วิสัยทัศน์
ประเมินผลเพื่อการปรับปรุงและแก้ไข
การสร้างวิสัยทัศน์
แนวคิด ความหมาย และความสำคัญของวิสัยทัศน์
วิสัยทัศน์ หมายถึง ภาพในอนาคตขององค์กรที่ผู้บริหารและสมาชิก ขององค์กรร่วมกันวาดฝัน หรือจินตนาการขึ้นโดยมีพื้นฐานอยู่บนความจริง ในปัจจุบัน เชื่อมโยงวัตถุประสงค์ ภารกิจ ค่านิยม และความเชื่อมั่นเข้าด้วยกัน พร้อมทั้งพรรณนาให้เห็นทิศทางของสถานศึกษาอย่างชัดเจน มีพลังท้าทาย ทะเยอทะยาน และมีความเป็นไปได้ (รุ่ง, 2539: 129) วิสัยทัศน์จึงเป็นเสมือนพิมพ์เขียวของสภาพที่ต้องการเพื่อให้ทุกคนทำงานไปสู่ความสำเร็จในอนาคต วิสัยทัศน์ได้มาจากการวิเคราะห์ปัญหาขององค์กรบนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอยู่ ในปัจจุบัน ร่วมกับการระดมความคิดหาแนวทางแก้ปัญหานั้นเพื่อให้ได้มา ซึ่งองค์กรอันพึงประสงค์ในอนาคต (บัณฑิต, 2540: 27) วิสัยทัศน์เป็นเรื่องของทุก ๆ คน แต่วิสัยทัศน์ไม่สามารถเกิดขึ้นกับทุกคนได้ หากไม่ได้รับการปลูกฝัง ไม่ได้รับการเรียนรู้จากสังคม (เกรียงศักดิ์, 2541: 65)
วิสัยทัศน์เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของผู้บริหารในการดำเนินกิจกรรมขององค์กร หากผู้บริหารปราศจากวิสัยทัศน์ก็จะไม่สามารถสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าและดำรงรักษาความเป็นองค์กรที่ดีไว้ได้ (Sergiovanni, 1987: 73) วิสัยทัศน์ทำให้ผู้บริหารมองเห็นว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่แท้จริงขององค์กร และสามารถกำหนดภาพในอนาคตขององค์กรได้ว่าต้องการให้เป็นอย่างไร เพื่อกำหนดกิจกรรม และแนวทางปฏิบัติงานให้บรรลุผลสำเร็จตามต้องการโดยไม่เสียเวลากระทำการในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ และยังเป็นแรงกระตุ้นให้สมาชิกขององค์กรปฏิบัติงานด้วยความเต็มใจอย่างเป็นพิเศษยิ่งกว่าธรรมดา (Duke, 1987: 51) วิสัยทัศน์จะช่วยสร้างความผูกพันและร้อยรัดพลังของสมาชิกเพื่อการบรรลุเป้าหมาย ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์จะสามารถสร้างวิสัยทัศน์ให้กับองค์กร และเปลี่ยนวิสัยทัศน์ให้เป็นสภาพที่เป็นจริง มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดคืออะไร จะต้องทำอะไร และทำอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายนั้น วิสัยทัศน์ที่แจ่มแจ้งชัดเจนนั้นมาจากการเข้าใจองค์กรอย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง งานวิจัยและวรรณกรรมต่าง ๆ ได้ยืนยันว่า วิสัยทัศน์เป็นสิ่งจำเป็นและเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของผู้บริหาร (เสริมศักดิ์, 2538: 6)
วิสัยทัศน์เป็นสิ่งสำคัญประการแรกที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมี และจะต้องเผยแพร่วิสัยทัศน์นั้นไปสู่คณะครู เพื่อให้สมาชิกกระทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยมุ่งหวังให้บรรลุวิสัยทัศน์นั้น (Davis and Thomas, 1989: 22-23) การมีวิสัยทัศน์อย่างเดียวยังไม่เพียงพอ สิ่งสำคัญที่ผู้บริหารจะต้องกระทำให้ได้คือ การทำให้สมาชิกมีจิตผูกพันกับวิสัยทัศน์ สามารถหล่อหลอมวิสัยทัศน์นั้นลงสู่นโยบาย แผนงาน และกิจวัตรประจำวันภายในองค์กร ยินดีเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อปฏิบัติงานต่าง ๆ ให้บรรลุวิสัยทัศน์นั้น (Caldwell and Spinks, 1990: 174)
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารสถานศึกษานอกจากจะมีวิสัยทัศน์แล้ว ยังต้องมีความสามารถในการเผยแพร่วิสัยทัศน์ให้สมาชิกเข้าใจ ยอมรับ และปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ให้บรรลุผลด้วย
มิติของวิสัยทัศน์
Braun (1991: 26) ได้กำหนดมิติของวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาเป็น 3 มิติ คือ การสร้างวิสัยทัศน์ (Formulated Vision) การเผยแพร่วิสัยทัศน์ (Articulated Vision) และการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ (Operational Vision)
การสร้างวิสัยทัศน์ หมายถึง การที่ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถสร้างภาพในอนาคตของสถานศึกษาได้อย่างชัดเจนว่าประสิทธิผลที่ดีที่สุดของสถานศึกษาที่ต้องการอย่างแท้จริงคืออะไร ทั้งนี้โดยอาศัยทักษะการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสังเคราะห์ข้อมูลของผู้บริหารสถานศึกษา
Locke et al. (1991: 53-54) ได้เสนอแนวคิดว่า การสร้างวิสัยทัศน์ของผู้บริหารได้มาจากวิธีการดังต่อไปนี้
1. โดยการเก็บรวบรวมข้อมูล หมายถึง การสนทนาพูดคุย และ ฟังความคิดเห็นจากบุคคลต่าง ๆ ทั้งในองค์กรและนอกองค์กร
2. โดยกระบวนการจัดกระทำข้อมูล หมายถึง การวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อนำไปกำหนดวิสัยทัศน์ของผู้บริหารซึ่งต้องอาศัยความรู้ความสามารถของผู้บริหารในเรื่อง การมีสายตายาวไกล ความเข้าใจ วัฒนธรรมขององค์กร ความเข้าใจถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นและแนวโน้มของโลกในอนาคต ความสามารถในการมองเห็นภาพรวมขององค์กร ความสามารถในการคาดคะเนแรงต่อต้านที่อาจจะเกิดขึ้น ความพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนความคิดเห็นของตนเองได้ตลอดเวลา
3. โดยการถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของตนออกมาเป็นถ้อยคำได้อย่างชัดเจน มีพลังในการกระตุ้นให้สมาชิกทุกคนทำงานเพื่อเป้าหมายขององค์กร ทั้งนี้ถ้อยคำ ที่แสดงวิสัยทัศน์นั้นควรมีลักษณะย่นย่อ ชัดเจน ท้าทาย มุ่งอนาคต มั่นคง ปรารถนาที่จะบรรลุให้ได้
4. โดยการประเมินผลเป็นระยะ หมายถึง การทดสอบว่าวิสัยทัศน์นั้นสอดคล้องกับความรู้ความสามารถของสมาชิกในองค์กรหรือไม่ หากได้คำตอบปฏิเสธ ผู้บริหารก็จะต้องนำวิสัยทัศน์นั้นมาพิจารณาเพื่อปรับเปลี่ยนต่อไป
เสริมศักดิ์ (2538: 4) ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า การสร้างวิสัยทัศน์ เป็นการสร้างความฝันที่เป็นจริง หรือเป็นการสร้างพิมพ์เขียวขององค์กรที่มีความเป็นเลิศในอนาคต การสร้างวิสัยทัศน์จะต้องศึกษาองค์กรอย่างลึกซึ้ง มีข้อมูลอย่างชัดเจนเกี่ยวกับจุดเด่น จุดด้อยของบุคคล สถานที่ ทรัพยากร และเวลา วิสัยทัศน์ ที่สร้างขึ้นจำเป็นต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม วิธีการที่ดีอย่างหนึ่งในการสร้างวิสัยทัศน์ก็คือ การสร้างวิสัยทัศน์โดยการให้มีส่วนร่วม (Shared Vision) ในขณะที่สมศักดิ์ (2540: 13) มีความคิดเห็นว่า การสร้างวิสัยทัศน์ควรกำหนดขึ้นโดยผู้บริหาร (Leader Initiate) มิได้กำหนดโดยกลุ่มบุคคล ซึ่งผู้บริหารที่ดีจะต้องรู้จักสนทนาและรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกแล้วนำมาพิจารณาว่าโลกปัจจุบันเป็นเช่นไร นำข้อมูลผนึกเข้าเป็นวิสัยทัศน์ แล้วหาวิธีการที่จะมุ่งสู่วิสัยทัศน์นั้น ในการสร้างวิสัยทัศน์จำเป็นต้องคำนึงถึงศีลธรรม จริยธรรม เพื่อให้ทิศทางที่จะมุ่งไปมีความถูกต้อง ตัวแปรที่สำคัญในการสร้างวิสัยทัศน์คือ ทักษะด้านความคิดรวบยอด (Conceptual Skills) อันเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งของผู้บริหารโรงเรียน โดยเฉพาะความคิดริเริ่มสร้างสรรค์(Creative Thinking) ที่พัฒนาให้ผู้บริหารมองกว้าง คิดไกล ทันสมัย และเฉียบแหลม
การเผยแพร่วิสัยทัศน์ หมายถึง การที่ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถสื่อสารให้สมาชิกมีความเข้าใจในวิสัยทัศน์ของตนได้อย่างชัดเจน ยอมรับ และเต็มใจที่จะปฏิบัติงานทั้งหลายเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์นั้น
Ellis and Joslin (1990: 8) มีความเห็นว่า การสร้างวิสัยทัศน์ขึ้นมาได้นั้นยังไม่สำคัญเท่ากับความสามารถในการเผยแพร่วิสัยทัศน์ไปยังสมาชิกทุกคนขององค์กรให้มีความคิดเห็นคล้อยตาม และเต็มใจที่จะปฏิบัติกิจกรรมทั้งหลายเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์นั้นซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดคือ การให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงเพื่อมุ่งไปยังวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาที่กำหนดไว้ นั่นคือ เปลี่ยนสภาพของวิสัยทัศน์ส่วนบุคคลเป็นวิสัยทัศน์ของส่วนรวม จุดมุ่งหมายของการเผยแพร่วิสัยทัศน์คือ การทำให้สมาชิกขององค์กรยอมรับวิสัยทัศน์นั้น เป็นของตน ผู้บริหารจึงต้องมีศิลปะในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและค่านิยมของสมาชิก มีวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิผลในการอธิบายและโน้มน้าวให้สมาชิกขององค์กรเข้าใจและยอมรับวิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ หมายถึง การที่ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำวิสัยทัศน์ไปสู่การปฏิบัติจริงได้เป็นผลสำเร็จ ทั้งนี้โดยวิธีการหลอมวิสัยทัศน์ของตนลงไปสู่นโยบาย เป้าหมาย แผนงาน โครงการ กิจวัตรประจำวันของสถานศึกษา และโดยการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคณะครู
Sashkin (1988: 247) ได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ได้ 2 แนวทาง คือ
1. โดยการหลอมวิสัยทัศน์นั้นลงในปรัชญาของสถานศึกษา และกำหนดนโยบาย โครงการ เพื่อนำปรัชญาของสถานศึกษาไปปฏิบัติจริง
2. โดยการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสมาชิกแต่ละคน ซึ่งผู้บริหาร
สถานศึกษาควรมีคุณลักษณะ 5 ประการ คือ มีทักษะการสื่อสารที่ดี แสดงออกถึงวิสัยทัศน์ของตนอย่างเด่นชัด วางตนให้เป็นที่ไว้วางใจได้ มีความมั่นใจในตนเอง และเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
การนำวิสัยทัศน์ไปปฏิบัติจะบรรลุผลเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา โดยเฉพาะการมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ การเป็นผู้สื่อสารที่ดี และความสามารถในการทำงานร่วมกับบุคคลที่มีลักษณะต่าง ๆ ได้ทุกสถานการณ์ (Scheive and Schoenheit, 1987: 102)
สรุปได้ว่า วิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเป้าหมายชัดเจน การตั้งเป้าหมายว่าองค์กรจะไปทางใดนั้นเป็นภารกิจเพียงครึ่งเดียวของผู้บริหารสถานศึกษา ภารกิจอีกครึ่งหนึ่งก็คือ ผู้บริหารจะต้องเผยแพร่หรือสื่อสารให้สมาชิกทราบในวิสัยทัศน์ของตน มีความเห็นพ้องกันในวิสัยทัศน์นั้น และร่วมพลังในการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์
เครื่องมือวัดวิสัยทัศน์
เครื่องมือวัดวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่สามารถตรวจสอบวิสัยทัศน์ได้ครอบคลุมสาระสำคัญมากกว่าเครื่องมือชนิดอื่น คือ Leadership Vision Questionnaire-Principal (LVQ-P) ซึ่งสร้างขึ้นโดย Braun (1991) และศาสตราจารย์ ดร.เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ ได้แปลและปรับให้สอดคล้องกับบริบทของไทย ลักษณะเครื่องมือประกอบด้วยข้อคำถาม 32 ข้อ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 4 ช่วงคะแนน เพื่อตรวจสอบวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา 3 มิติ คือ การสร้างวิสัยทัศน์ การเผยแพร่วิสัยทัศน์ และการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ โดยมีวิธีการคิดคะแนน 2 ระดับคือ ระดับที่ 1 คิดคะแนนรวมแยกเป็นแต่ละมิติ และระดับที่ 2 คิดคะแนนเฉลี่ยของคะแนนรวมทั้ง 3 มิติ จะได้คะแนนที่เป็นค่าแสดงถึงระดับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาแต่ละคน ซึ่งได้กำหนดการแปลค่าคะแนนเฉลี่ยของแบบวัดวิสัยทัศน์ไว้ดังนี้
1.00 – 1.80 แสดงว่า มีวิสัยทัศน์อยู่ในระดับต่ำ
1.81 – 3.20 แสดงว่า มีวิสัยทัศน์อยู่ในระดับปานกลาง
3.21 – 4.00 แสดงว่า มีวิสัยทัศน์อยู่ในระดับสูง
การวัดวิสัยทัศน์จะช่วยให้ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถประเมินตนเองได้ว่ามีวิสัยทัศน์อยู่ในระดับใด วิสัยทัศน์ในมิติใดที่สมควรได้รับการพัฒนาเพื่อให้เป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ดี ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาสามารถพัฒนาวิสัยทัศน์ได้ตามแนวทางดังต่อไปนี้
แนวทางในการพัฒนาวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา
วิสัยทัศน์มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการสั่งสมความรอบรู้และประสบการณ์ที่มากพอ วิสัยทัศน์สามารถสร้างได้ พัฒนาได้
การสร้างวิสัยทัศน์
ในการสร้างวิสัยทัศน์มีประเด็นที่ควรพิจารณา ดังนี้
1. ผู้บริหารจะต้องเข้าใจองค์กร ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องเข้าใจองค์กรอย่างลึกซึ้ง เข้าใจภารกิจ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์เดิมขององค์กร เข้าใจวัฒนธรรมขององค์กร เข้าใจความต้องการและค่านิยมของสมาชิก ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องวิเคราะห์องค์กรเพื่อหาจุดแข็ง จุดอ่อนขององค์กร
2. ผู้บริหารจะต้องเข้าใจสภาพแวดล้อม เนื่องจากสถานศึกษาเป็นระบบสังคมซึ่งได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นจะต้องศึกษาสภาพปัจจุบันของสิ่งแวดล้อม และศึกษาแนวโน้มของสิ่งแวดล้อม รวมทั้งวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมเพื่อแสวงหาโอกาส และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงหรืออุปสรรค
ทั้งนี้การที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะเข้าใจองค์กรและสภาพแวดล้อมนั้นจำเป็นจะต้องมีข้อมูลที่ทันสมัยและเชื่อถือได้ การแสวงหาข้อมูลจึงต้องหาข้อมูลทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
ในการสร้างวิสัยทัศน์นั้น ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในด้านต่อไปนี้ (เสริมศักดิ์, 2538:27)
1. การมองการณ์ไกล
2. การมองย้อนกลับไปข้างหลัง
3. การมองผลกระทบและแนวโน้มต่าง ๆ
4. การมององค์กรในภาพรวม
5. การคาดคะเนแรงต่อต้านต่าง ๆ
6. การวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนขององค์กร
7. การมีความมุ่งมั่นหรือความสนใจที่จะเปลี่ยนแปลง
8. การทดสอบว่าวิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้นนั้นสอดคล้องกับเป้าหมายของ
องค์กร และความสามารถของสมาชิกในองค์กรหรือไม่
การเผยแพร่วิสัยทัศน์
เมื่อผู้บริหารสถานศึกษาสามารถสร้างวิสัยทัศน์ขึ้นมาได้แล้วจำเป็นต้องเผยแพร่วิสัยทัศน์นั้นให้สมาชิกได้รับรู้ เข้าใจ และยอมรับ เพื่อเปลี่ยนสภาพวิสัยทัศน์ส่วนบุคคลให้เป็นวิสัยทัศน์ขององค์กร เพราะสมาชิกจะไม่ทำงานเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ที่ผู้บริหารสร้างขึ้นหากสมาชิกไม่ยอมรับในวิสัยทัศน์นั้น ดังนั้น จึงควรให้สมาชิกได้มีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้น วิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้นจะกลายเป็นภารกิจที่จะต้องลงมือปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ดังนั้น การเผยแพร่วิสัยทัศน์จึงเป็นการเชื่อมโยงระหว่างวิสัยทัศน์ ภารกิจ และการปฏิบัติ
ในการเผยแพร่วิสัยทัศน์นั้น ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1. ทักษะในการติดต่อสื่อสาร ผู้บริหารควรพัฒนาทักษะในการพูด การฟัง การเขียน และการแสดงภาษาท่าทาง เพื่อให้สมาชิกเข้าใจวิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้น
2. ทักษะในการทำตนเป็นแบบอย่าง (Role Model) เนื่องจากวิสัยทัศน์ ที่สร้างขึ้นจะกลายเป็นภารกิจขององค์กร ผู้บริหารสถานศึกษาจึงควรแสดงให้เห็นว่า วิสัยทัศน์นั้นมีความเป็นไปได้ สามารถปฏิบัติให้บรรลุผลได้โดยการปฏิบัติให้ดูเป็นแบบอย่าง ซึ่งการทำตนเป็นแบบอย่างนี้ผู้บริหารจะต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์
การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ เป็นการนำวิสัยทัศน์ที่สร้างไปสู่การปฏิบัติจริงโดยความร่วมมือ ทุ่มเทกำลังกาย ความคิด และความพยายามของสมาชิก เพื่อให้วิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้นนั้นเป็นผลสำเร็จ นั่นคือเป็นการรวมพลังเพื่อบรรลุสภาพการณ์ในอนาคตที่พึงปรารถนา ซึ่งเป็นการพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องบูรณาการวิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้นให้เข้ากับปรัชญา นโยบาย แผนงาน และโครงการของสถานศึกษา และปฏิบัติตามจนกระทั่งบังเกิดผล
ในการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์นั้น ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ทักษะในการบริหารการเปลี่ยนแปลง การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ จำเป็นจะต้องนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่องค์กร เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนวิธีดำเนินการเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่แตกต่างหรือสูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะก่อให้เกิดแรงต่อต้าน ความวิตกกังวล ความเครียด และความขัดแย้ง ด้วยเหตุนี้ผู้บริหารจึงควรพัฒนาทักษะในการบริหารการเปลี่ยนแปลง
2. ทักษะในการทำงานกับคน การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์เป็นการรวบรวมพลังทรัพยากรต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรมนุษย์ ผู้บริหารจึงควรพัฒนา การสื่อสารแบบ 2 ทางระหว่างผู้บริหารกับสมาชิกใน 3 ประเด็น คือ ความไว้วางใจ ความเชื่อมั่น และการยอมรับความคิดเห็น
3. ทักษะการสร้างแรงจูงใจ การทำงานของสมาชิกในองค์กรเป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างความสามารถและแรงจูงใจ ผู้บริหารสถานศึกษาจึงควรมีทักษะในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดแก่สมาชิก
4. ทักษะในการมอบหมายงาน ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีทักษะในการมอบหมายงาน ทั้งนี้เพราะการมอบหมายงานจะทำให้เกิดการกระจายอำนาจ และการมีส่วนร่วม ซึ่งจะทำให้สมาชิกมีอิสระในการทำงาน เกิดความผูกพัน เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ และมีความรับผิดชอบมากขึ้น
5. ทักษะในการปรับโครงสร้างองค์กร ผู้บริหารสถานศึกษาควรปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับภารกิจที่จะต้องปฏิบัติ
การประเมินผลเพื่อการปรับปรุงและแก้ไข
วิสัยทัศน์ทำให้ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถกำหนดภาพในอนาคต ที่ต้องการได้ ขณะเดียวกันผู้บริหารก็ต้องทำการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง เพื่อนำสถานศึกษาไปสู่วิสัยทัศน์ที่กำหนด ซึ่งเป็นสิ่งที่ยาก และมักจะล้มเหลว เนื่องจากธรรมชาติของบุคคลก็ดี ขององค์กรก็ดีย่อมมีการต่อต้านเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาจึงควรมีการประเมินผลเป็นระยะเพื่อทดสอบว่าวิสัยทัศน์นั้นสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร สอดคล้องกับความสามารถของสมาชิกในองค์กรหรือไม่ หากได้คำตอบปฏิเสธ ผู้บริหารสถานศึกษาก็จะต้องนำวิสัยทัศน์นั้นมาพิจารณาเพื่อปรับเปลี่ยนต่อไป ผู้บริหารที่ดีควรมองการสร้างวิสัยทัศน์ การเผยแพร่วิสัยทัศน์ การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ และการประเมินผล เพื่อการปรับปรุงและแก้ไขให้มีความเชื่อมโยงกัน
บทสรุป
วิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา เป็นคุณสมบัติของผู้บริหารที่สามารถมองเห็นภาพในอนาคตของสถานศึกษาที่ต้องการจะให้เป็นไปได้อย่างชัดเจนโดยภาพนั้นต้องสอดคล้องกับเป้าหมายของสถานศึกษา มีความเป็นไปได้ และสามารถมองเห็นวิธีการปฏิบัติที่จะนำสถานศึกษาให้บรรลุความต้องการนั้น วิสัยทัศน์เป็นภาพอันชัดเจนที่สะท้อนให้เห็นเป้าหมาย ค่านิยม ปรัชญา และความเชื่อที่สมาชิกของสถานศึกษาร่วมกันยึดถือ วิสัยทัศน์ที่แท้จริงต้องเป็นวิสัยทัศน์ร่วมที่สมาชิกช่วยกันผลักดันสานฝัน อันเป็นผลจากความสามารถคิดอ่านผสานเข้ากับประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมของสมาชิก และเป็นผลจากความสามารถในการเก่งคิด เก่งคน และเก่งงานของผู้บริหารสถานศึกษา วิสัยทัศน์จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน
วิสัยทัศน์เป็นสิ่งสำคัญประการแรกที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมี เพราะวิสัยทัศน์เป็น Roadmap ให้ทุกคนในสถานศึกษาได้ใช้เป็นประทีปนำทางในการปฏิบัติงาน ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ที่แท้จริงนั้นจะต้องมีกระบวนการลีลาของวิสัยทัศน์ครบทั้ง 3 มิติคือ คิดได้ (การสร้างวิสัยทัศน์) สื่อเป็น (การเผยแพร่วิสัยทัศน์) และโน้มนำให้มีการปฏิบัติล่วงหน้า (การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์) พร้อมทั้งมีการประเมินผลเพื่อการปรับปรุงแก้ไขให้เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบด้วย
เอกสารและสิ่งอ้างอิง
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. 2541. มองฝันวันข้างหน้า: วิสัยทัศน์ประเทศไทย
ปี 2560. กรุงเทพฯ: ซัคเซส มีเดีย.
บัณฑิต แท่นพิทักษ์. 2540. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำ อำนาจ ความศรัทธา
และความพึงพอใจ ในงานของครูโรงเรียนมัธยมศึกษา. วิทยานิพนธ์
ปริญญาเอก, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ประสานมิตร.
รุ่ง แก้วแดง. 2539. รีเอ็นจิเนียริ่งระบบราชการไทย ภาค 2. กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์มติชน.
สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์. 2540. วิสัยทัศน์ (VISION): พลังแห่งความสำเร็จ.
การศึกษาเอกชน 7(70): 13-14.
เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์. 2538. วิสัยทัศน์ของผู้บริหารการศึกษา. ในประมวล
สาระชุดวิชาประสบการณ์วิชาชีพมหาบัณฑิตบริหารการศึกษา. เล่มที่ 1.
หน่วยที่ 1. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ชลาลัย นิมิบุตร[*]
วิสัยทัศน์ (Vision) เป็นคำที่นักวิชาการได้ให้ความสนใจ และพยายามให้ความหมายแตกต่างกันไปมากมาย จนอาจเกิดความสับสนว่ากำลังกล่าวถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหาร หรือวิสัยทัศน์ขององค์กรกันแน่ อย่างไรก็ตามความหมาย ของวิสัยทัศน์สามารถสรุปได้ในแนวทางเดียวกันคือ วิสัยทัศน์ หมายถึง ภาพในอนาคตขององค์กรซึ่งได้มาจากปัญญา ความคิดโดยภาพนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความจริง มีความเป็นไปได้ ดึงดูดใจให้ปฏิบัติตาม สอดคล้องกับเป้าหมายและภาระหน้าที่ขององค์กรอันจะทำให้องค์กรมีสภาพดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เมื่อพิจารณาจากความหมาย ของวิสัยทัศน์จะเห็นว่า วิสัยทัศน์มีลักษณะเป็นภาพ สถานศึกษาไม่สามารถที่จะสร้างภาพด้วยตนเองได้ แต่จะมองเห็นอนาคตขององค์กรผ่านผู้บริหารสถานศึกษาว่าจะกำหนดทิศทางและแนวทางการดำเนินงานของสถานศึกษาอย่างไรจึงจะเหมาะสม ดังนั้นวิสัยทัศน์ที่จะกล่าวถึงในบทความนี้จะหมายถึงวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้บริหารสถานศึกษาทุกคนจะต้องมีเพื่อนำการเปลี่ยนแปลง มาสู่สถานศึกษาให้บรรลุเป้าหมายที่ต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงที่เป็นพลวัตรเช่นในปัจจุบัน และผู้เขียนจะขอนำเสนอแนวทางในการพัฒนาวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาตามกรอบแนวคิด ดังนี้
การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์
การเผยแพร่วิสัยทัศน์
ประเมินผลเพื่อการปรับปรุงและแก้ไข
การสร้างวิสัยทัศน์
แนวคิด ความหมาย และความสำคัญของวิสัยทัศน์
วิสัยทัศน์ หมายถึง ภาพในอนาคตขององค์กรที่ผู้บริหารและสมาชิก ขององค์กรร่วมกันวาดฝัน หรือจินตนาการขึ้นโดยมีพื้นฐานอยู่บนความจริง ในปัจจุบัน เชื่อมโยงวัตถุประสงค์ ภารกิจ ค่านิยม และความเชื่อมั่นเข้าด้วยกัน พร้อมทั้งพรรณนาให้เห็นทิศทางของสถานศึกษาอย่างชัดเจน มีพลังท้าทาย ทะเยอทะยาน และมีความเป็นไปได้ (รุ่ง, 2539: 129) วิสัยทัศน์จึงเป็นเสมือนพิมพ์เขียวของสภาพที่ต้องการเพื่อให้ทุกคนทำงานไปสู่ความสำเร็จในอนาคต วิสัยทัศน์ได้มาจากการวิเคราะห์ปัญหาขององค์กรบนพื้นฐานของข้อมูลที่มีอยู่ ในปัจจุบัน ร่วมกับการระดมความคิดหาแนวทางแก้ปัญหานั้นเพื่อให้ได้มา ซึ่งองค์กรอันพึงประสงค์ในอนาคต (บัณฑิต, 2540: 27) วิสัยทัศน์เป็นเรื่องของทุก ๆ คน แต่วิสัยทัศน์ไม่สามารถเกิดขึ้นกับทุกคนได้ หากไม่ได้รับการปลูกฝัง ไม่ได้รับการเรียนรู้จากสังคม (เกรียงศักดิ์, 2541: 65)
วิสัยทัศน์เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาของผู้บริหารในการดำเนินกิจกรรมขององค์กร หากผู้บริหารปราศจากวิสัยทัศน์ก็จะไม่สามารถสร้างสรรค์ความเจริญก้าวหน้าและดำรงรักษาความเป็นองค์กรที่ดีไว้ได้ (Sergiovanni, 1987: 73) วิสัยทัศน์ทำให้ผู้บริหารมองเห็นว่าอะไรเป็นสิ่งสำคัญที่แท้จริงขององค์กร และสามารถกำหนดภาพในอนาคตขององค์กรได้ว่าต้องการให้เป็นอย่างไร เพื่อกำหนดกิจกรรม และแนวทางปฏิบัติงานให้บรรลุผลสำเร็จตามต้องการโดยไม่เสียเวลากระทำการในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ และยังเป็นแรงกระตุ้นให้สมาชิกขององค์กรปฏิบัติงานด้วยความเต็มใจอย่างเป็นพิเศษยิ่งกว่าธรรมดา (Duke, 1987: 51) วิสัยทัศน์จะช่วยสร้างความผูกพันและร้อยรัดพลังของสมาชิกเพื่อการบรรลุเป้าหมาย ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์จะสามารถสร้างวิสัยทัศน์ให้กับองค์กร และเปลี่ยนวิสัยทัศน์ให้เป็นสภาพที่เป็นจริง มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเป้าหมายที่ต้องการให้เกิดคืออะไร จะต้องทำอะไร และทำอย่างไรจึงจะบรรลุเป้าหมายนั้น วิสัยทัศน์ที่แจ่มแจ้งชัดเจนนั้นมาจากการเข้าใจองค์กรอย่างถ่องแท้และลึกซึ้ง งานวิจัยและวรรณกรรมต่าง ๆ ได้ยืนยันว่า วิสัยทัศน์เป็นสิ่งจำเป็นและเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของผู้บริหาร (เสริมศักดิ์, 2538: 6)
วิสัยทัศน์เป็นสิ่งสำคัญประการแรกที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมี และจะต้องเผยแพร่วิสัยทัศน์นั้นไปสู่คณะครู เพื่อให้สมาชิกกระทำกิจกรรมต่าง ๆ โดยมุ่งหวังให้บรรลุวิสัยทัศน์นั้น (Davis and Thomas, 1989: 22-23) การมีวิสัยทัศน์อย่างเดียวยังไม่เพียงพอ สิ่งสำคัญที่ผู้บริหารจะต้องกระทำให้ได้คือ การทำให้สมาชิกมีจิตผูกพันกับวิสัยทัศน์ สามารถหล่อหลอมวิสัยทัศน์นั้นลงสู่นโยบาย แผนงาน และกิจวัตรประจำวันภายในองค์กร ยินดีเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อปฏิบัติงานต่าง ๆ ให้บรรลุวิสัยทัศน์นั้น (Caldwell and Spinks, 1990: 174)
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้บริหารสถานศึกษานอกจากจะมีวิสัยทัศน์แล้ว ยังต้องมีความสามารถในการเผยแพร่วิสัยทัศน์ให้สมาชิกเข้าใจ ยอมรับ และปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ให้บรรลุผลด้วย
มิติของวิสัยทัศน์
Braun (1991: 26) ได้กำหนดมิติของวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาเป็น 3 มิติ คือ การสร้างวิสัยทัศน์ (Formulated Vision) การเผยแพร่วิสัยทัศน์ (Articulated Vision) และการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ (Operational Vision)
การสร้างวิสัยทัศน์ หมายถึง การที่ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถสร้างภาพในอนาคตของสถานศึกษาได้อย่างชัดเจนว่าประสิทธิผลที่ดีที่สุดของสถานศึกษาที่ต้องการอย่างแท้จริงคืออะไร ทั้งนี้โดยอาศัยทักษะการเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการสังเคราะห์ข้อมูลของผู้บริหารสถานศึกษา
Locke et al. (1991: 53-54) ได้เสนอแนวคิดว่า การสร้างวิสัยทัศน์ของผู้บริหารได้มาจากวิธีการดังต่อไปนี้
1. โดยการเก็บรวบรวมข้อมูล หมายถึง การสนทนาพูดคุย และ ฟังความคิดเห็นจากบุคคลต่าง ๆ ทั้งในองค์กรและนอกองค์กร
2. โดยกระบวนการจัดกระทำข้อมูล หมายถึง การวิเคราะห์ และสังเคราะห์ข้อมูลที่มีอยู่ เพื่อนำไปกำหนดวิสัยทัศน์ของผู้บริหารซึ่งต้องอาศัยความรู้ความสามารถของผู้บริหารในเรื่อง การมีสายตายาวไกล ความเข้าใจ วัฒนธรรมขององค์กร ความเข้าใจถึงผลกระทบต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นและแนวโน้มของโลกในอนาคต ความสามารถในการมองเห็นภาพรวมขององค์กร ความสามารถในการคาดคะเนแรงต่อต้านที่อาจจะเกิดขึ้น ความพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนความคิดเห็นของตนเองได้ตลอดเวลา
3. โดยการถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของตนออกมาเป็นถ้อยคำได้อย่างชัดเจน มีพลังในการกระตุ้นให้สมาชิกทุกคนทำงานเพื่อเป้าหมายขององค์กร ทั้งนี้ถ้อยคำ ที่แสดงวิสัยทัศน์นั้นควรมีลักษณะย่นย่อ ชัดเจน ท้าทาย มุ่งอนาคต มั่นคง ปรารถนาที่จะบรรลุให้ได้
4. โดยการประเมินผลเป็นระยะ หมายถึง การทดสอบว่าวิสัยทัศน์นั้นสอดคล้องกับความรู้ความสามารถของสมาชิกในองค์กรหรือไม่ หากได้คำตอบปฏิเสธ ผู้บริหารก็จะต้องนำวิสัยทัศน์นั้นมาพิจารณาเพื่อปรับเปลี่ยนต่อไป
เสริมศักดิ์ (2538: 4) ได้อธิบายไว้อย่างชัดเจนว่า การสร้างวิสัยทัศน์ เป็นการสร้างความฝันที่เป็นจริง หรือเป็นการสร้างพิมพ์เขียวขององค์กรที่มีความเป็นเลิศในอนาคต การสร้างวิสัยทัศน์จะต้องศึกษาองค์กรอย่างลึกซึ้ง มีข้อมูลอย่างชัดเจนเกี่ยวกับจุดเด่น จุดด้อยของบุคคล สถานที่ ทรัพยากร และเวลา วิสัยทัศน์ ที่สร้างขึ้นจำเป็นต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อม วิธีการที่ดีอย่างหนึ่งในการสร้างวิสัยทัศน์ก็คือ การสร้างวิสัยทัศน์โดยการให้มีส่วนร่วม (Shared Vision) ในขณะที่สมศักดิ์ (2540: 13) มีความคิดเห็นว่า การสร้างวิสัยทัศน์ควรกำหนดขึ้นโดยผู้บริหาร (Leader Initiate) มิได้กำหนดโดยกลุ่มบุคคล ซึ่งผู้บริหารที่ดีจะต้องรู้จักสนทนาและรับฟังความคิดเห็นของสมาชิกแล้วนำมาพิจารณาว่าโลกปัจจุบันเป็นเช่นไร นำข้อมูลผนึกเข้าเป็นวิสัยทัศน์ แล้วหาวิธีการที่จะมุ่งสู่วิสัยทัศน์นั้น ในการสร้างวิสัยทัศน์จำเป็นต้องคำนึงถึงศีลธรรม จริยธรรม เพื่อให้ทิศทางที่จะมุ่งไปมีความถูกต้อง ตัวแปรที่สำคัญในการสร้างวิสัยทัศน์คือ ทักษะด้านความคิดรวบยอด (Conceptual Skills) อันเป็นทักษะที่สำคัญยิ่งของผู้บริหารโรงเรียน โดยเฉพาะความคิดริเริ่มสร้างสรรค์(Creative Thinking) ที่พัฒนาให้ผู้บริหารมองกว้าง คิดไกล ทันสมัย และเฉียบแหลม
การเผยแพร่วิสัยทัศน์ หมายถึง การที่ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถสื่อสารให้สมาชิกมีความเข้าใจในวิสัยทัศน์ของตนได้อย่างชัดเจน ยอมรับ และเต็มใจที่จะปฏิบัติงานทั้งหลายเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์นั้น
Ellis and Joslin (1990: 8) มีความเห็นว่า การสร้างวิสัยทัศน์ขึ้นมาได้นั้นยังไม่สำคัญเท่ากับความสามารถในการเผยแพร่วิสัยทัศน์ไปยังสมาชิกทุกคนขององค์กรให้มีความคิดเห็นคล้อยตาม และเต็มใจที่จะปฏิบัติกิจกรรมทั้งหลายเพื่อให้บรรลุวิสัยทัศน์นั้นซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดคือ การให้สมาชิกทุกคนมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงเพื่อมุ่งไปยังวิสัยทัศน์ของสถานศึกษาที่กำหนดไว้ นั่นคือ เปลี่ยนสภาพของวิสัยทัศน์ส่วนบุคคลเป็นวิสัยทัศน์ของส่วนรวม จุดมุ่งหมายของการเผยแพร่วิสัยทัศน์คือ การทำให้สมาชิกขององค์กรยอมรับวิสัยทัศน์นั้น เป็นของตน ผู้บริหารจึงต้องมีศิลปะในการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและค่านิยมของสมาชิก มีวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิผลในการอธิบายและโน้มน้าวให้สมาชิกขององค์กรเข้าใจและยอมรับวิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ หมายถึง การที่ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถนำวิสัยทัศน์ไปสู่การปฏิบัติจริงได้เป็นผลสำเร็จ ทั้งนี้โดยวิธีการหลอมวิสัยทัศน์ของตนลงไปสู่นโยบาย เป้าหมาย แผนงาน โครงการ กิจวัตรประจำวันของสถานศึกษา และโดยการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคณะครู
Sashkin (1988: 247) ได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ได้ 2 แนวทาง คือ
1. โดยการหลอมวิสัยทัศน์นั้นลงในปรัชญาของสถานศึกษา และกำหนดนโยบาย โครงการ เพื่อนำปรัชญาของสถานศึกษาไปปฏิบัติจริง
2. โดยการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสมาชิกแต่ละคน ซึ่งผู้บริหาร
สถานศึกษาควรมีคุณลักษณะ 5 ประการ คือ มีทักษะการสื่อสารที่ดี แสดงออกถึงวิสัยทัศน์ของตนอย่างเด่นชัด วางตนให้เป็นที่ไว้วางใจได้ มีความมั่นใจในตนเอง และเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น
การนำวิสัยทัศน์ไปปฏิบัติจะบรรลุผลเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถทางการบริหารของผู้บริหารสถานศึกษา โดยเฉพาะการมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ การเป็นผู้สื่อสารที่ดี และความสามารถในการทำงานร่วมกับบุคคลที่มีลักษณะต่าง ๆ ได้ทุกสถานการณ์ (Scheive and Schoenheit, 1987: 102)
สรุปได้ว่า วิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง ซึ่งจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเป้าหมายชัดเจน การตั้งเป้าหมายว่าองค์กรจะไปทางใดนั้นเป็นภารกิจเพียงครึ่งเดียวของผู้บริหารสถานศึกษา ภารกิจอีกครึ่งหนึ่งก็คือ ผู้บริหารจะต้องเผยแพร่หรือสื่อสารให้สมาชิกทราบในวิสัยทัศน์ของตน มีความเห็นพ้องกันในวิสัยทัศน์นั้น และร่วมพลังในการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์
เครื่องมือวัดวิสัยทัศน์
เครื่องมือวัดวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาที่สามารถตรวจสอบวิสัยทัศน์ได้ครอบคลุมสาระสำคัญมากกว่าเครื่องมือชนิดอื่น คือ Leadership Vision Questionnaire-Principal (LVQ-P) ซึ่งสร้างขึ้นโดย Braun (1991) และศาสตราจารย์ ดร.เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ ได้แปลและปรับให้สอดคล้องกับบริบทของไทย ลักษณะเครื่องมือประกอบด้วยข้อคำถาม 32 ข้อ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 4 ช่วงคะแนน เพื่อตรวจสอบวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา 3 มิติ คือ การสร้างวิสัยทัศน์ การเผยแพร่วิสัยทัศน์ และการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ โดยมีวิธีการคิดคะแนน 2 ระดับคือ ระดับที่ 1 คิดคะแนนรวมแยกเป็นแต่ละมิติ และระดับที่ 2 คิดคะแนนเฉลี่ยของคะแนนรวมทั้ง 3 มิติ จะได้คะแนนที่เป็นค่าแสดงถึงระดับวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษาแต่ละคน ซึ่งได้กำหนดการแปลค่าคะแนนเฉลี่ยของแบบวัดวิสัยทัศน์ไว้ดังนี้
1.00 – 1.80 แสดงว่า มีวิสัยทัศน์อยู่ในระดับต่ำ
1.81 – 3.20 แสดงว่า มีวิสัยทัศน์อยู่ในระดับปานกลาง
3.21 – 4.00 แสดงว่า มีวิสัยทัศน์อยู่ในระดับสูง
การวัดวิสัยทัศน์จะช่วยให้ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถประเมินตนเองได้ว่ามีวิสัยทัศน์อยู่ในระดับใด วิสัยทัศน์ในมิติใดที่สมควรได้รับการพัฒนาเพื่อให้เป็นผู้ที่มีวิสัยทัศน์ดี ซึ่งผู้บริหารสถานศึกษาสามารถพัฒนาวิสัยทัศน์ได้ตามแนวทางดังต่อไปนี้
แนวทางในการพัฒนาวิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา
วิสัยทัศน์มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการสั่งสมความรอบรู้และประสบการณ์ที่มากพอ วิสัยทัศน์สามารถสร้างได้ พัฒนาได้
การสร้างวิสัยทัศน์
ในการสร้างวิสัยทัศน์มีประเด็นที่ควรพิจารณา ดังนี้
1. ผู้บริหารจะต้องเข้าใจองค์กร ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องเข้าใจองค์กรอย่างลึกซึ้ง เข้าใจภารกิจ เป้าหมาย และวัตถุประสงค์เดิมขององค์กร เข้าใจวัฒนธรรมขององค์กร เข้าใจความต้องการและค่านิยมของสมาชิก ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องวิเคราะห์องค์กรเพื่อหาจุดแข็ง จุดอ่อนขององค์กร
2. ผู้บริหารจะต้องเข้าใจสภาพแวดล้อม เนื่องจากสถานศึกษาเป็นระบบสังคมซึ่งได้รับผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม ผู้บริหารสถานศึกษาจำเป็นจะต้องศึกษาสภาพปัจจุบันของสิ่งแวดล้อม และศึกษาแนวโน้มของสิ่งแวดล้อม รวมทั้งวิเคราะห์สิ่งแวดล้อมเพื่อแสวงหาโอกาส และหลีกเลี่ยงความเสี่ยงหรืออุปสรรค
ทั้งนี้การที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะเข้าใจองค์กรและสภาพแวดล้อมนั้นจำเป็นจะต้องมีข้อมูลที่ทันสมัยและเชื่อถือได้ การแสวงหาข้อมูลจึงต้องหาข้อมูลทั้งแบบเป็นทางการและไม่เป็นทางการ
ในการสร้างวิสัยทัศน์นั้น ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในด้านต่อไปนี้ (เสริมศักดิ์, 2538:27)
1. การมองการณ์ไกล
2. การมองย้อนกลับไปข้างหลัง
3. การมองผลกระทบและแนวโน้มต่าง ๆ
4. การมององค์กรในภาพรวม
5. การคาดคะเนแรงต่อต้านต่าง ๆ
6. การวิเคราะห์จุดแข็งและจุดอ่อนขององค์กร
7. การมีความมุ่งมั่นหรือความสนใจที่จะเปลี่ยนแปลง
8. การทดสอบว่าวิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้นนั้นสอดคล้องกับเป้าหมายของ
องค์กร และความสามารถของสมาชิกในองค์กรหรือไม่
การเผยแพร่วิสัยทัศน์
เมื่อผู้บริหารสถานศึกษาสามารถสร้างวิสัยทัศน์ขึ้นมาได้แล้วจำเป็นต้องเผยแพร่วิสัยทัศน์นั้นให้สมาชิกได้รับรู้ เข้าใจ และยอมรับ เพื่อเปลี่ยนสภาพวิสัยทัศน์ส่วนบุคคลให้เป็นวิสัยทัศน์ขององค์กร เพราะสมาชิกจะไม่ทำงานเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ที่ผู้บริหารสร้างขึ้นหากสมาชิกไม่ยอมรับในวิสัยทัศน์นั้น ดังนั้น จึงควรให้สมาชิกได้มีส่วนร่วมตั้งแต่เริ่มต้น วิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้นจะกลายเป็นภารกิจที่จะต้องลงมือปฏิบัติเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ดังนั้น การเผยแพร่วิสัยทัศน์จึงเป็นการเชื่อมโยงระหว่างวิสัยทัศน์ ภารกิจ และการปฏิบัติ
ในการเผยแพร่วิสัยทัศน์นั้น ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในเรื่องต่าง ๆ ดังนี้
1. ทักษะในการติดต่อสื่อสาร ผู้บริหารควรพัฒนาทักษะในการพูด การฟัง การเขียน และการแสดงภาษาท่าทาง เพื่อให้สมาชิกเข้าใจวิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้น
2. ทักษะในการทำตนเป็นแบบอย่าง (Role Model) เนื่องจากวิสัยทัศน์ ที่สร้างขึ้นจะกลายเป็นภารกิจขององค์กร ผู้บริหารสถานศึกษาจึงควรแสดงให้เห็นว่า วิสัยทัศน์นั้นมีความเป็นไปได้ สามารถปฏิบัติให้บรรลุผลได้โดยการปฏิบัติให้ดูเป็นแบบอย่าง ซึ่งการทำตนเป็นแบบอย่างนี้ผู้บริหารจะต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ
การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์
การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ เป็นการนำวิสัยทัศน์ที่สร้างไปสู่การปฏิบัติจริงโดยความร่วมมือ ทุ่มเทกำลังกาย ความคิด และความพยายามของสมาชิก เพื่อให้วิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้นนั้นเป็นผลสำเร็จ นั่นคือเป็นการรวมพลังเพื่อบรรลุสภาพการณ์ในอนาคตที่พึงปรารถนา ซึ่งเป็นการพัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องบูรณาการวิสัยทัศน์ที่สร้างขึ้นให้เข้ากับปรัชญา นโยบาย แผนงาน และโครงการของสถานศึกษา และปฏิบัติตามจนกระทั่งบังเกิดผล
ในการปฏิบัติตามวิสัยทัศน์นั้น ผู้บริหารสถานศึกษาควรพัฒนาตนเองให้มีความสามารถในด้านต่าง ๆ ดังนี้
1. ทักษะในการบริหารการเปลี่ยนแปลง การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ จำเป็นจะต้องนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่องค์กร เนื่องจากเป็นการเปลี่ยนวิธีดำเนินการเพื่อการบรรลุเป้าหมายที่แตกต่างหรือสูงขึ้นกว่าเดิม ซึ่งจะก่อให้เกิดแรงต่อต้าน ความวิตกกังวล ความเครียด และความขัดแย้ง ด้วยเหตุนี้ผู้บริหารจึงควรพัฒนาทักษะในการบริหารการเปลี่ยนแปลง
2. ทักษะในการทำงานกับคน การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์เป็นการรวบรวมพลังทรัพยากรต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทรัพยากรมนุษย์ ผู้บริหารจึงควรพัฒนา การสื่อสารแบบ 2 ทางระหว่างผู้บริหารกับสมาชิกใน 3 ประเด็น คือ ความไว้วางใจ ความเชื่อมั่น และการยอมรับความคิดเห็น
3. ทักษะการสร้างแรงจูงใจ การทำงานของสมาชิกในองค์กรเป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างความสามารถและแรงจูงใจ ผู้บริหารสถานศึกษาจึงควรมีทักษะในการสร้างแรงจูงใจให้เกิดแก่สมาชิก
4. ทักษะในการมอบหมายงาน ผู้บริหารสถานศึกษาควรมีทักษะในการมอบหมายงาน ทั้งนี้เพราะการมอบหมายงานจะทำให้เกิดการกระจายอำนาจ และการมีส่วนร่วม ซึ่งจะทำให้สมาชิกมีอิสระในการทำงาน เกิดความผูกพัน เกิดความรู้สึกเป็นเจ้าของ และมีความรับผิดชอบมากขึ้น
5. ทักษะในการปรับโครงสร้างองค์กร ผู้บริหารสถานศึกษาควรปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อให้สอดคล้องและเหมาะสมกับภารกิจที่จะต้องปฏิบัติ
การประเมินผลเพื่อการปรับปรุงและแก้ไข
วิสัยทัศน์ทำให้ผู้บริหารสถานศึกษาสามารถกำหนดภาพในอนาคต ที่ต้องการได้ ขณะเดียวกันผู้บริหารก็ต้องทำการเปลี่ยนแปลงบางสิ่งบางอย่าง เพื่อนำสถานศึกษาไปสู่วิสัยทัศน์ที่กำหนด ซึ่งเป็นสิ่งที่ยาก และมักจะล้มเหลว เนื่องจากธรรมชาติของบุคคลก็ดี ขององค์กรก็ดีย่อมมีการต่อต้านเมื่อมีการเปลี่ยนแปลง
ดังนั้น ผู้บริหารสถานศึกษาจึงควรมีการประเมินผลเป็นระยะเพื่อทดสอบว่าวิสัยทัศน์นั้นสอดคล้องกับเป้าหมายขององค์กร สอดคล้องกับความสามารถของสมาชิกในองค์กรหรือไม่ หากได้คำตอบปฏิเสธ ผู้บริหารสถานศึกษาก็จะต้องนำวิสัยทัศน์นั้นมาพิจารณาเพื่อปรับเปลี่ยนต่อไป ผู้บริหารที่ดีควรมองการสร้างวิสัยทัศน์ การเผยแพร่วิสัยทัศน์ การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ และการประเมินผล เพื่อการปรับปรุงและแก้ไขให้มีความเชื่อมโยงกัน
บทสรุป
วิสัยทัศน์ของผู้บริหารสถานศึกษา เป็นคุณสมบัติของผู้บริหารที่สามารถมองเห็นภาพในอนาคตของสถานศึกษาที่ต้องการจะให้เป็นไปได้อย่างชัดเจนโดยภาพนั้นต้องสอดคล้องกับเป้าหมายของสถานศึกษา มีความเป็นไปได้ และสามารถมองเห็นวิธีการปฏิบัติที่จะนำสถานศึกษาให้บรรลุความต้องการนั้น วิสัยทัศน์เป็นภาพอันชัดเจนที่สะท้อนให้เห็นเป้าหมาย ค่านิยม ปรัชญา และความเชื่อที่สมาชิกของสถานศึกษาร่วมกันยึดถือ วิสัยทัศน์ที่แท้จริงต้องเป็นวิสัยทัศน์ร่วมที่สมาชิกช่วยกันผลักดันสานฝัน อันเป็นผลจากความสามารถคิดอ่านผสานเข้ากับประสบการณ์ทั้งทางตรงและทางอ้อมของสมาชิก และเป็นผลจากความสามารถในการเก่งคิด เก่งคน และเก่งงานของผู้บริหารสถานศึกษา วิสัยทัศน์จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีเป้าหมายที่ชัดเจน
วิสัยทัศน์เป็นสิ่งสำคัญประการแรกที่ผู้บริหารสถานศึกษาจะต้องมี เพราะวิสัยทัศน์เป็น Roadmap ให้ทุกคนในสถานศึกษาได้ใช้เป็นประทีปนำทางในการปฏิบัติงาน ผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ที่แท้จริงนั้นจะต้องมีกระบวนการลีลาของวิสัยทัศน์ครบทั้ง 3 มิติคือ คิดได้ (การสร้างวิสัยทัศน์) สื่อเป็น (การเผยแพร่วิสัยทัศน์) และโน้มนำให้มีการปฏิบัติล่วงหน้า (การปฏิบัติตามวิสัยทัศน์) พร้อมทั้งมีการประเมินผลเพื่อการปรับปรุงแก้ไขให้เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบด้วย
เอกสารและสิ่งอ้างอิง
เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์. 2541. มองฝันวันข้างหน้า: วิสัยทัศน์ประเทศไทย
ปี 2560. กรุงเทพฯ: ซัคเซส มีเดีย.
บัณฑิต แท่นพิทักษ์. 2540. ความสัมพันธ์ระหว่างภาวะผู้นำ อำนาจ ความศรัทธา
และความพึงพอใจ ในงานของครูโรงเรียนมัธยมศึกษา. วิทยานิพนธ์
ปริญญาเอก, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ประสานมิตร.
รุ่ง แก้วแดง. 2539. รีเอ็นจิเนียริ่งระบบราชการไทย ภาค 2. กรุงเทพฯ:
สำนักพิมพ์มติชน.
สมศักดิ์ ดลประสิทธิ์. 2540. วิสัยทัศน์ (VISION): พลังแห่งความสำเร็จ.
การศึกษาเอกชน 7(70): 13-14.
เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์. 2538. วิสัยทัศน์ของผู้บริหารการศึกษา. ในประมวล
สาระชุดวิชาประสบการณ์วิชาชีพมหาบัณฑิตบริหารการศึกษา. เล่มที่ 1.
หน่วยที่ 1. นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
วันอาทิตย์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2552
รูปแบบการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะใน 3 จชต."
บทย่องานวิจัย"รูปแบบการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะใน 3 จชต."
ผลงานของ นายสนั่น พาหอม ผู้อำนวยการสำนักผู้ตรวจราชการประจำเขตตรวจราชการที่ 11 สงขลา
บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) กลุ่มเป้าหมายผู้ร่วมปฏิบัติการได้แก่ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะ ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่ส่งเสริม โต๊ะครูและผู้เกี่ยวข้องอื่นในพื้นที่ รวม 308 คน กลุ่มตัวอย่างในการประเมินผลการพัฒนาของสถาบันศึกษาปอเนาะ ได้แก่ โต๊ะครูที่ร่วมปฏิบัติการ ส่วนกลุ่มตัวอย่างในการประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของรูปแบบ ได้แก่ ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของสถาบันศึกษาปอเนาะ ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่ส่งเสริม และโต๊ะครู จำนวน 100 คน แบบสนทนากลุ่มกำหนดปัญหาและความต้องการ แบบสนทนากลุ่มกำหนดแนวทางการพัฒนา แบบประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันศึกษาปอเนาะและแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบ ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ และมีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยการหาความตรงในเนื้อหาด้วยการหาดัชนีความสอดคล้อง (IOC) และความเชื่อมั่นโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา เป็นเครื่องมือการวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสนทนากลุ่ม การจัดส่งแบบและรวบรวมแบบคืนทางไปรษณีย์และการจัดส่งแบบและรวบรวมคืนด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ใช้ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าความแตกต่างระหว่างฐานนิยมและมัธยฐาน (Mo-Md) และค่าพิสัยควอไทล์ (Q.D.) เป็นสถิติในการวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า 1. สถาบันศึกษาปอเนาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนและต่อเนื่องในนโยบายสนับสนุนของรัฐ อาคารสถานที่และสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม บุคลากรขาดโอกาสในการพัฒนาตนเอง หลักสูตรไม่เอื้อต่อการถ่ายโอนผลการเรียน การวัดและประเมินผลรวมทั้งการบริหารจัดการยังขาดประสิทธิภาพ ต้องการการสนับสนุนจากรัฐอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาอาคารสถานที่และสภาพแวดล้อม การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาหลักสูตรกลางเป็นตัวแบบ และต้องการสนับสนุนช่วยเหลือกันในการพัฒนา 2. สถาบันศึกษาปอเนาะจำเป็นต้องพัฒนา ทั้งด้านวิชาการ อาคารสถานที่ การบริหารการเงินและธุรการ การพัฒนาบุคลากรและการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน โดยการพัฒนาที่เน้นการพึ่งตนเอง การร่วมมือช่วยเหลือกัน การพัฒนาตามสภาพจริง การระดมสรรพกำลังจากทุกฝ่าย และการกำหนดกรอบกิจกรรมสำหรับการพัฒนาในแต่ละระดับ 3. สถาบันศึกษาปอเนาะที่ร่วมปฏิบัติการได้นำแนวทางการพัฒนาที่กำหนดร่วมกันไปใช้เป็นแนวทางใน การพัฒนา และได้ดำเนินการพัฒนาตามแนวทางที่กำหนดในระดับมากที่สุด 4. รูปแบบการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะที่พัฒนาขึ้น เป็นรูปแบบความคิดเชิงยุทธศาสตร์ กำหนดให้สถาบันเป็นสถาบันสอนศาสนาและการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ผู้เรียนมีความรู้คู่คุณธรรมและสร้างชุมชนเข้มแข็ง ดำเนินการพัฒนาใน 5 พันธกิจ ได้แก่ การพัฒนาอาคารสถานที่ การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการ การพัฒนาชุมชน โดยมีเป้าประสงค์ที่จะให้สถาบันศึกษาปอเนาะเป็นสถาบันน่าอยู่ ครูมีคุณภาพ ผู้เรียนมีความรู้คู่คุณธรรม มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และเป็นสถาบันของชุมชน ใช้ 3 กลยุทธ์หลักในการพัฒนา ได้แก่ การพัฒนาแบบพึ่งตนเอง การสร้างเครือข่ายการพัฒนา การสร้างคุณภาพถ้วนหน้า พร้อมทั้งกำหนดกรอบกิจกรรมการพัฒนาไว้ชัดเจนในแต่ละระดับ ให้ส่งผลต่อความร่วมมือและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ 5. ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะ ทั้งผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่ส่งเสริม และ โต๊ะครู มีความเห็นสอดคล้องกันเป็นฉันทามิติว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นนี้ มีความเหมาะสมและความเป็นได้ในระดับมาก
ผลงานของ นายสนั่น พาหอม ผู้อำนวยการสำนักผู้ตรวจราชการประจำเขตตรวจราชการที่ 11 สงขลา
บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) กลุ่มเป้าหมายผู้ร่วมปฏิบัติการได้แก่ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะ ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่ส่งเสริม โต๊ะครูและผู้เกี่ยวข้องอื่นในพื้นที่ รวม 308 คน กลุ่มตัวอย่างในการประเมินผลการพัฒนาของสถาบันศึกษาปอเนาะ ได้แก่ โต๊ะครูที่ร่วมปฏิบัติการ ส่วนกลุ่มตัวอย่างในการประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของรูปแบบ ได้แก่ ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของสถาบันศึกษาปอเนาะ ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่ส่งเสริม และโต๊ะครู จำนวน 100 คน แบบสนทนากลุ่มกำหนดปัญหาและความต้องการ แบบสนทนากลุ่มกำหนดแนวทางการพัฒนา แบบประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันศึกษาปอเนาะและแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบ ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ และมีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยการหาความตรงในเนื้อหาด้วยการหาดัชนีความสอดคล้อง (IOC) และความเชื่อมั่นโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา เป็นเครื่องมือการวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสนทนากลุ่ม การจัดส่งแบบและรวบรวมแบบคืนทางไปรษณีย์และการจัดส่งแบบและรวบรวมคืนด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ใช้ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าความแตกต่างระหว่างฐานนิยมและมัธยฐาน (Mo-Md) และค่าพิสัยควอไทล์ (Q.D.) เป็นสถิติในการวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า 1. สถาบันศึกษาปอเนาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนและต่อเนื่องในนโยบายสนับสนุนของรัฐ อาคารสถานที่และสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม บุคลากรขาดโอกาสในการพัฒนาตนเอง หลักสูตรไม่เอื้อต่อการถ่ายโอนผลการเรียน การวัดและประเมินผลรวมทั้งการบริหารจัดการยังขาดประสิทธิภาพ ต้องการการสนับสนุนจากรัฐอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาอาคารสถานที่และสภาพแวดล้อม การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาหลักสูตรกลางเป็นตัวแบบ และต้องการสนับสนุนช่วยเหลือกันในการพัฒนา 2. สถาบันศึกษาปอเนาะจำเป็นต้องพัฒนา ทั้งด้านวิชาการ อาคารสถานที่ การบริหารการเงินและธุรการ การพัฒนาบุคลากรและการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน โดยการพัฒนาที่เน้นการพึ่งตนเอง การร่วมมือช่วยเหลือกัน การพัฒนาตามสภาพจริง การระดมสรรพกำลังจากทุกฝ่าย และการกำหนดกรอบกิจกรรมสำหรับการพัฒนาในแต่ละระดับ 3. สถาบันศึกษาปอเนาะที่ร่วมปฏิบัติการได้นำแนวทางการพัฒนาที่กำหนดร่วมกันไปใช้เป็นแนวทางใน การพัฒนา และได้ดำเนินการพัฒนาตามแนวทางที่กำหนดในระดับมากที่สุด 4. รูปแบบการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะที่พัฒนาขึ้น เป็นรูปแบบความคิดเชิงยุทธศาสตร์ กำหนดให้สถาบันเป็นสถาบันสอนศาสนาและการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ผู้เรียนมีความรู้คู่คุณธรรมและสร้างชุมชนเข้มแข็ง ดำเนินการพัฒนาใน 5 พันธกิจ ได้แก่ การพัฒนาอาคารสถานที่ การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการ การพัฒนาชุมชน โดยมีเป้าประสงค์ที่จะให้สถาบันศึกษาปอเนาะเป็นสถาบันน่าอยู่ ครูมีคุณภาพ ผู้เรียนมีความรู้คู่คุณธรรม มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และเป็นสถาบันของชุมชน ใช้ 3 กลยุทธ์หลักในการพัฒนา ได้แก่ การพัฒนาแบบพึ่งตนเอง การสร้างเครือข่ายการพัฒนา การสร้างคุณภาพถ้วนหน้า พร้อมทั้งกำหนดกรอบกิจกรรมการพัฒนาไว้ชัดเจนในแต่ละระดับ ให้ส่งผลต่อความร่วมมือและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ 5. ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะ ทั้งผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่ส่งเสริม และ โต๊ะครู มีความเห็นสอดคล้องกันเป็นฉันทามิติว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นนี้ มีความเหมาะสมและความเป็นได้ในระดับมาก
งานวิจัยรูปแบบการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะใน 3 จชต.
บทย่องานวิจัย"รูปแบบการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะใน 3 จชต."
ผลงานของ นายสนั่น พาหอม ผู้อำนวยการสำนักผู้ตรวจราชการประจำเขตตรวจราชการที่ 11 สงขลา
บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) กลุ่มเป้าหมายผู้ร่วมปฏิบัติการได้แก่ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะ ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่ส่งเสริม โต๊ะครูและผู้เกี่ยวข้องอื่นในพื้นที่ รวม 308 คน กลุ่มตัวอย่างในการประเมินผลการพัฒนาของสถาบันศึกษาปอเนาะ ได้แก่ โต๊ะครูที่ร่วมปฏิบัติการ ส่วนกลุ่มตัวอย่างในการประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของรูปแบบ ได้แก่ ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของสถาบันศึกษาปอเนาะ ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่ส่งเสริม และโต๊ะครู จำนวน 100 คน แบบสนทนากลุ่มกำหนดปัญหาและความต้องการ แบบสนทนากลุ่มกำหนดแนวทางการพัฒนา แบบประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันศึกษาปอเนาะและแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบ ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ และมีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยการหาความตรงในเนื้อหาด้วยการหาดัชนีความสอดคล้อง (IOC) และความเชื่อมั่นโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา เป็นเครื่องมือการวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสนทนากลุ่ม การจัดส่งแบบและรวบรวมแบบคืนทางไปรษณีย์และการจัดส่งแบบและรวบรวมคืนด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ใช้ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าความแตกต่างระหว่างฐานนิยมและมัธยฐาน (Mo-Md) และค่าพิสัยควอไทล์ (Q.D.) เป็นสถิติในการวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า 1. สถาบันศึกษาปอเนาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนและต่อเนื่องในนโยบายสนับสนุนของรัฐ อาคารสถานที่และสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม บุคลากรขาดโอกาสในการพัฒนาตนเอง หลักสูตรไม่เอื้อต่อการถ่ายโอนผลการเรียน การวัดและประเมินผลรวมทั้งการบริหารจัดการยังขาดประสิทธิภาพ ต้องการการสนับสนุนจากรัฐอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาอาคารสถานที่และสภาพแวดล้อม การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาหลักสูตรกลางเป็นตัวแบบ และต้องการสนับสนุนช่วยเหลือกันในการพัฒนา 2. สถาบันศึกษาปอเนาะจำเป็นต้องพัฒนา ทั้งด้านวิชาการ อาคารสถานที่ การบริหารการเงินและธุรการ การพัฒนาบุคลากรและการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน โดยการพัฒนาที่เน้นการพึ่งตนเอง การร่วมมือช่วยเหลือกัน การพัฒนาตามสภาพจริง การระดมสรรพกำลังจากทุกฝ่าย และการกำหนดกรอบกิจกรรมสำหรับการพัฒนาในแต่ละระดับ 3. สถาบันศึกษาปอเนาะที่ร่วมปฏิบัติการได้นำแนวทางการพัฒนาที่กำหนดร่วมกันไปใช้เป็นแนวทางใน การพัฒนา และได้ดำเนินการพัฒนาตามแนวทางที่กำหนดในระดับมากที่สุด 4. รูปแบบการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะที่พัฒนาขึ้น เป็นรูปแบบความคิดเชิงยุทธศาสตร์ กำหนดให้สถาบันเป็นสถาบันสอนศาสนาและการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ผู้เรียนมีความรู้คู่คุณธรรมและสร้างชุมชนเข้มแข็ง ดำเนินการพัฒนาใน 5 พันธกิจ ได้แก่ การพัฒนาอาคารสถานที่ การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการ การพัฒนาชุมชน โดยมีเป้าประสงค์ที่จะให้สถาบันศึกษาปอเนาะเป็นสถาบันน่าอยู่ ครูมีคุณภาพ ผู้เรียนมีความรู้คู่คุณธรรม มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และเป็นสถาบันของชุมชน ใช้ 3 กลยุทธ์หลักในการพัฒนา ได้แก่ การพัฒนาแบบพึ่งตนเอง การสร้างเครือข่ายการพัฒนา การสร้างคุณภาพถ้วนหน้า พร้อมทั้งกำหนดกรอบกิจกรรมการพัฒนาไว้ชัดเจนในแต่ละระดับ ให้ส่งผลต่อความร่วมมือและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ 5. ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะ ทั้งผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่ส่งเสริม และ โต๊ะครู มีความเห็นสอดคล้องกันเป็นฉันทามิติว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นนี้ มีความเหมาะสมและความเป็นได้ในระดับมาก
ผลงานของ นายสนั่น พาหอม ผู้อำนวยการสำนักผู้ตรวจราชการประจำเขตตรวจราชการที่ 11 สงขลา
บทคัดย่อ การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารูปแบบการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นการวิจัยปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (PAR) กลุ่มเป้าหมายผู้ร่วมปฏิบัติการได้แก่ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะ ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่ส่งเสริม โต๊ะครูและผู้เกี่ยวข้องอื่นในพื้นที่ รวม 308 คน กลุ่มตัวอย่างในการประเมินผลการพัฒนาของสถาบันศึกษาปอเนาะ ได้แก่ โต๊ะครูที่ร่วมปฏิบัติการ ส่วนกลุ่มตัวอย่างในการประเมินความเหมาะสม และความเป็นไปได้ของรูปแบบ ได้แก่ ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาของสถาบันศึกษาปอเนาะ ประกอบด้วย ผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่ส่งเสริม และโต๊ะครู จำนวน 100 คน แบบสนทนากลุ่มกำหนดปัญหาและความต้องการ แบบสนทนากลุ่มกำหนดแนวทางการพัฒนา แบบประเมินผลการดำเนินงานของสถาบันศึกษาปอเนาะและแบบประเมินความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของรูปแบบ ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพ และมีคุณภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด โดยการหาความตรงในเนื้อหาด้วยการหาดัชนีความสอดคล้อง (IOC) และความเชื่อมั่นโดยการหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา เป็นเครื่องมือการวิจัย เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการสนทนากลุ่ม การจัดส่งแบบและรวบรวมแบบคืนทางไปรษณีย์และการจัดส่งแบบและรวบรวมคืนด้วยตนเอง วิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสำเร็จรูป ใช้ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ค่าความแตกต่างระหว่างฐานนิยมและมัธยฐาน (Mo-Md) และค่าพิสัยควอไทล์ (Q.D.) เป็นสถิติในการวิเคราะห์ ผลการวิจัยพบว่า 1. สถาบันศึกษาปอเนาะในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาเกี่ยวกับความไม่ชัดเจนและต่อเนื่องในนโยบายสนับสนุนของรัฐ อาคารสถานที่และสภาพแวดล้อมไม่เหมาะสม บุคลากรขาดโอกาสในการพัฒนาตนเอง หลักสูตรไม่เอื้อต่อการถ่ายโอนผลการเรียน การวัดและประเมินผลรวมทั้งการบริหารจัดการยังขาดประสิทธิภาพ ต้องการการสนับสนุนจากรัฐอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาอาคารสถานที่และสภาพแวดล้อม การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาหลักสูตรกลางเป็นตัวแบบ และต้องการสนับสนุนช่วยเหลือกันในการพัฒนา 2. สถาบันศึกษาปอเนาะจำเป็นต้องพัฒนา ทั้งด้านวิชาการ อาคารสถานที่ การบริหารการเงินและธุรการ การพัฒนาบุคลากรและการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน โดยการพัฒนาที่เน้นการพึ่งตนเอง การร่วมมือช่วยเหลือกัน การพัฒนาตามสภาพจริง การระดมสรรพกำลังจากทุกฝ่าย และการกำหนดกรอบกิจกรรมสำหรับการพัฒนาในแต่ละระดับ 3. สถาบันศึกษาปอเนาะที่ร่วมปฏิบัติการได้นำแนวทางการพัฒนาที่กำหนดร่วมกันไปใช้เป็นแนวทางใน การพัฒนา และได้ดำเนินการพัฒนาตามแนวทางที่กำหนดในระดับมากที่สุด 4. รูปแบบการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะที่พัฒนาขึ้น เป็นรูปแบบความคิดเชิงยุทธศาสตร์ กำหนดให้สถาบันเป็นสถาบันสอนศาสนาและการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ ผู้เรียนมีความรู้คู่คุณธรรมและสร้างชุมชนเข้มแข็ง ดำเนินการพัฒนาใน 5 พันธกิจ ได้แก่ การพัฒนาอาคารสถานที่ การพัฒนาบุคลากร การพัฒนาคุณภาพการศึกษา การพัฒนาประสิทธิภาพการบริหารจัดการ การพัฒนาชุมชน โดยมีเป้าประสงค์ที่จะให้สถาบันศึกษาปอเนาะเป็นสถาบันน่าอยู่ ครูมีคุณภาพ ผู้เรียนมีความรู้คู่คุณธรรม มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ และเป็นสถาบันของชุมชน ใช้ 3 กลยุทธ์หลักในการพัฒนา ได้แก่ การพัฒนาแบบพึ่งตนเอง การสร้างเครือข่ายการพัฒนา การสร้างคุณภาพถ้วนหน้า พร้อมทั้งกำหนดกรอบกิจกรรมการพัฒนาไว้ชัดเจนในแต่ละระดับ ให้ส่งผลต่อความร่วมมือและประสิทธิภาพในการบริหารจัดการ 5. ผู้เกี่ยวข้องกับการพัฒนาสถาบันศึกษาปอเนาะ ทั้งผู้บริหารระดับสูง ผู้เชี่ยวชาญ เจ้าหน้าที่ส่งเสริม และ โต๊ะครู มีความเห็นสอดคล้องกันเป็นฉันทามิติว่า รูปแบบที่พัฒนาขึ้นนี้ มีความเหมาะสมและความเป็นได้ในระดับมาก
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)